ทำไมต้องมีเว็บไซต์



เมื่อสื่อโซเชียลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น การให้ความสำคัญของเว็บไซต์ก็น้อยลงเรื่อยๆ อาจจะเพราะสื่อโซเชียลเป็นของฟรี และมีการปฎิสัมพันธ์กัน 2 ทางได้ดีและรวดเร็วกว่า แต่ทว่า เว็บไซต์ก็ยังเป็นเครื่องมือพื้นฐานอย่างหนึ่งในการทำการตลาดออนไลน์ ด้วยเหตุผลที่ผมกลั่นออกมาให้ได้เป็นทฤษฎีที่ผมตั้งชื่อเองว่า  D.O.T

D.O.T   เหตุผลที่คุณต้องมีเว็บไซต์  

D = Data  = คลังเก็บข้อมูล

เว็บไซต์ เป็นแหล่งเก็บข้อมูลชั้นดี ที่คุณสามารถเก็บทุกอย่างที่คุณต้องการไว้ในที่แห่งนี้ ในรูปแบบของสื่อ Digital และยังสามารถจัดเก็บได้เป็นหมวดหมู่ชัดเจน ง่ายต่อการค้นหาทั้งผู้เข้าชมเว็บ และง่ายต่อการค้นหาใน Google เว็บไซต์ทุกเว็บจะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูล Google อัตโนมัติ หากคุณต้องการให้คนค้นหาคำว่าอะไร เพียงแค่ใส่ Keyword สิ่งนั้นๆ ไว้ในเว็บของคุณ Google ก็พร้อมจะจัดระบบ การค้นหาให้คุณไปพร้อมๆ กัน

หากเทียบกับ Facebook บาง content ที่ดีของคุณ เมื่อวันวานผ่านไป ข้อมูลเหล่านั้นก็จะถูกจัดอันดับลงไปเรื่อยๆ ตาม Timeline ในแต่ละวัน ยิ่งวันวานผ่านพ้นไป เนื้อหาดีๆ ที่เราภูมิใจเป็นที่สุด อาจจะไม่มีคนเห็นอีกต่อไป แต่ถ้าคุณรวบรวมเนื้อหา เหล่านั้นเก็บไว้ในคลังข้อมูลของคุณที่อีกที่ เว็บไซต์ ของคุณ มันก็ง่ายต่อการค้นหา และพบเห็นได้มากกว่า และเนื้อหาบางเนื้อหาของคุณก็อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้อีกมากในอนาคต

นอกจากนี้ Google ก็เป็นอีกแหล่ง ในการนำคน มารู้จักคุณอีกด้วย หากบทความคุณมีคนกำลังค้นหา เนื้อหาโดนใจ เป็นประโยชน์กับเขา เขาก็อาจจะมาเป็นลูกค้าคุณในอนาคตได้อีกด้วย

O = Owner = คุณคือเจ้าของ

คนที่จะมีเว็บไซต์ได้นั้น แสดงให้เห็นว่าเป็นคนเอาจริง เพราะมีค่าใช้จ่ายในการจดโดเมน, เช่าโฮสต์, และทำเว็บไซต์  ไม่เหมือน Facebook หรือ Social อื่นๆ ที่ใช้บริการฟรี ใครๆ อยากจะเปิดเพจก็มาเปิดได้ง่าย

เว็บไซต์ เปรียบเหมือนบ้าน เป็นร้านค้า เป็นศูนย์บัญชาการของคุณ และมันจะอยู่กับคุณตลอดไป เพราะคุณคือเจ้าของมัน แต่ Social ต่างๆ เปรียบเหมือนบ้านเช่า ที่เราต้องอยู่ตามกฎเกณฑ์ กติกา ของเจ้าของบ้านตลอด ไม่รู้ว่าวันใด วันหนึ่ง เจ้าของบ้านจะไล่เราออกเมื่อไหร่ พวก content ต่างๆ ที่เราเพียรนั่งเขียนทุกวัน อาจจะไม่เหลือให้เราเห็นอีกต่อไปก็เป็นได้ จะดีกว่าไม๊ หากเรามีฐานบัญชาการของเราเองไว้ด้วย เพื่อเก็บข้อมูล และยังทำประโยชน์อย่างอื่นให้เราได้อีกมากมาย

เว็บไซต์ อาจเปรียบได้เหมือนนามบัตร ที่อยู่บนโลกออนไลน์ สำหรับผู้ที่ทำ Personal Branding แนะนำให้จดโดเมน เป็นชื่อของคุณเอง แล้วบน Title ใส่ชื่อเต็มของคุณ หรือฉายาของคุณ รับรองไม่ถึง 1 เดือน ชื่อคุณจะปรากฎ บน Google คุณมีหน้าที่ Present ตัวเองเท่านั้นเอง

แต่ถ้าเป็นนามบัตรจริง คุณไม่สามารถใส่ข้อมูลทุกอย่างที่เป็นตัวคุณลงไปได้ทั้งหมดบนนามบัตรขนาดเล็กได้แน่นอน

T = Trust = ความน่าเชื่อถือ

หากลองเปรียบเทียบ ผู้ขาย 2 ราย มี Facebook เหมือนกัน มีสินค้าเหมือนกัน แต่ราย 1 มีเว็บไซต์ อีกรายหนึ่งไม่มีเว็บไซต์ ผมคิดว่าคนทีเว็บไซต์น่าเชื่อถือมากกว่า แต่ของเว็บคุณต้องดูดี น่าเชื่อถือด้วยนะ ไม่ใช่ดูรก ภาพไม่สวย จัดข้อความ รูปภาพเกยกัน แบบเด็กหัดทำ เนื้อหาต่างๆ ในเว็บต้องกระชับ ให้ข้อมูลชัดเจน

แล้วเราจะสร้างเว็บให้น่าเชื่อถือได้อย่างไร ? ผมจะแบ่งแยกออกเป็น 4 W 1 K

  • Who = คุณเป็นใคร ประวัติที่น่าสนใจของคุณเป็นอย่างไร ประสบการ์ที่ผ่านมามีอะไรบ้าง : About us
  • What = คุณทำอะไรได้ดี คุณทำอะไรได้บ้าง และคุณจะช่วยเหลืออะไรเขาได้บ้าง : Product & Service
  • Where = คุณให้บริการอยู่ที่ไหน ติดต่อคุณได้อย่างไร มีช่องทางติดต่ออะไรบ้าง ติดต่อง่ายจริงไม๊ : Contact us
  • Why = ทำไมลูกค้า ต้องเลือกคุณ โดยคุณอาจจะแสดงเป็น Portfolio งานที่ผ่านมา , Testimonial คำนิยม ความเห็นลูกค้า เป็นต้น : Portpolio

จริงๆ แค่ 4 W ที่ทำได้สมบูรณ์ ก็กินขาดคนไม่มีเว็บไซต์แล้วล่ะ แต่ถ้า คู่แข่งมีเว็บเหมือนกัน อีกตัวที่จะเป็นตัวตัดสินคือ K

  • Knowledge =  การให้ความรู้ ด้วยบทความ หรือจะเป็น VDO ที่ Upload ลงบน YouTube แล้วมาแปะที่เว็บของเรา เพื่อให้ง่ายต่อการดู ใครให้คุณค่าผู้คนมากกว่าคนนั้น เปรียบเสมือนผู้ให้ เข้าคำที่ว่า “ยิ่งให้ยิ่งได้” คุณแค่ให้ครั้งเดียว ทิ้งไว้บนเว็บไซต์ ใครผ่านไปผ่านมา พบก็จะเป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย

ประโยชน์อื่นๆ ของเว็บไซต์

  • เชื่อมต่อโปรแกรมสำหรับเก็บข้อมูล Email ลูกค้า
  • ใส่ Code สำหรับ ติดตามผู้เยี่ยมชม กรณีลงโฆษณากับ Facebook & Google Adwords
  • ทำระบบ Ecommerce เต็มรูปแบบสำหรับขายของออไลน์
  • ทำระบบ แสดงสินค้าและบริการ ที่จัดหมวดหมู่เพื่อให้หาได้ง่ายกว่า Social ทั่วไป